บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (30 มี.ค. 2565) ในกรณีประเด็นของ บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WINNER คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1/2565 น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับกำไรที่จะทรงตัวเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ผลจาก 1) รายได้รวมทรงตัวเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม consumer products (2) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนค่า freight ที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบกลุ่ม consumer products ซึ่งบริษัทฯ มีการนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัว เพิ่มขึ้น เช่น wheat ที่ราคาสูงขึ้น กระทบอัตรากำไรขั้นต้น กลุ่ม industrial products โดย WINNER ได้มีการปรับราคาสินค้าขึ้นบางส่วน และ 3) SG&A expenses ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการจัดโปรโมชั่น กระตุ้นยอดขาย
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา WINNER รายงานกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4/2564 อยู่ที่ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 103% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 45% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งมีรายการพิเศษคือ ค่าโอนกลับหนี้สินและค่าเยียวยากิจการจากการล็อกดาวน์รวม 14 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรปกติมีการขยายตัวเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมาจาก 1) รายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา มีรายได้ consumer products ขยายตัวเพิ่มขึ้น 43% เมื่อทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ industrial products เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น (2) อัตรากำไรขั้นต้น ลดลงเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสินค้า consumer products ส่วนใหญ่ขายผ่าน ช่องทาง MT ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ กำไรเกิดการขยายตัว เมื่อเทียบจากไตรมาสที่ผ่านมา จากรายได้ consumer products และ industrial products ขยายตัว
อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565 โดยเพิ่มขึ้น 7% เพื่อสะท้อนมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล ทั้ง คนละครึ่งเฟส 4, เราเที่ยวด้วยกัน และการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนการบริโภคในประเทศขยายตัว
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 104 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรปกติขยายตัวเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา จาก 1) รายได้รวมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการบริโภคที่ฟื้นตัว 2) อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้น และ 3) SG&A expenses เพิ่มขึ้นจากการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นกำลังซื้อ
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 ลงเป็น 2.80 บาท จาก EPS dilution หลังการเพิ่มทุน อิงจากปี 2565 บน PER ที่ 16 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยปรับค่า PER เพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว จากเดิมให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.10 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 13 เท่า ไม่รวม EPS dilution อย่างไรก็ตามหากคิดจากราคาหุ้นล่าสุดเทียบกับราคาเป้าหมายเหลืออัพไซด์ 6.06%