ในงานสัมมนา “Empowering Thailand 2021 เคลื่อนอนาคตไทยด้วยการลงทุน” จัดโดย “หนังสือพิมพ์มติชน” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้หยิบยกประเด็นที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงการณ์ออกทีวีพูล เย็นวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ประกาศตั้งเป้าเอาไว้ว่า ประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งหมดให้ได้ภายใน 120 วัน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองผ่านสุดยอดผู้นำองค์กรภาคเอกชนสำคัญของประเทศ “นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ “นายสุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ขออย่าตั้ง “เงื่อนไข”
นายสนั่นกล่าวว่า ทางหอการค้าและภาคธุรกิจเห็นด้วยกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ เพราะนั่นหมายความว่ารัฐบาลมีวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ในมือจำนวนมาก พร้อมเป้าหมายฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนได้ 50 ล้านคน และมีความมั่นใจว่าหน่วยงานสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ พร้อมจะร่วมมือวางมาตรการป้องกันในการดูแลอย่างเต็มที่ เพราะเชื่อว่าปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะยังคงอยู่ไปอีกนาน
“การเปิดประเทศจะต้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน โดยอย่าตั้งเงื่อนไขก่อนควรมองถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้น และทุกฝ่ายร่วมมือกันที่จะขับเคลื่อน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย”
เปิดประเทศดันจีดีพี 0.3%
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัญหาโควิด-19 ที่ผ่านมากระทบต่อมูลค่าเศรษฐกิจ 3-5 แสนล้านบาท แต่หากเราร่วมมือกันเชื่อว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้ให้กับประเทศเข้ามา 1-2 ล้านล้านบาท โดยจากมาตรการเปิดประเทศจะทำให้จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้น 0.3% ภาพรวมทั้งปีจะอยู่ที่ 0.5-2.0%
เร่งเตรียมพร้อม
สำหรับการเตรียมความพร้อมหลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ได้วางเป้าหมายการทำงาน 90 วันแรก เช่น จะเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ พร้อมกับสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับภาครัฐ โดยเป้าหมายในปีนี้ไทยจะฉีดวัคซีนให้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านโดส
“ภายหลังจากที่มีการประกาศเปิดประเทศ ทางหอการค้าไทยได้มีการหารือกับหอการค้าทั่วประเทศเตรียมความพร้อมรับมือว่าจะทำอย่างไร อีกทั้งจะมีการหารือกับหอการค้าต่างประเทศ ทูตพาณิชย์ สถานกงสุล และสภาธุรกิจต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศในการเตรียมความพร้อมดังกล่าวด้วย”
ดันรายได้ท่องเที่ยว-ส่งออก
การตั้งเป้าหมายว่าวันที่ 1 กรกฎาคมนี้จะนำร่องภูเก็ตแซนด์บอกซ์ และจะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา ทางภาคเอกชนได้เตรียมความพร้อมและจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ และในส่วนของหอการค้าได้จัดทำโครงการ “ฮักไทย” เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา
เชื่อว่าไม่เพียงจะสร้างโอกาสในการหารายได้จากนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ที่สำคัญจุดนี้จะเป็นตัวพิสูจน์ว่าเมื่อการเปิดประเทศจะเกิดรายได้เข้ามา และเป็นการทดสอบระบบว่าประเทศไทยจะสามารถมีมาตรการหรือควบคุมการดูแลการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดีมากน้อยเพียงไรก่อนที่จะเปิดทั้งหมด
“เมื่อมีการเปิดประเทศก็จะมีนักท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดรายได้เข้ามาภายในประเทศ โดยคาดว่าช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564 จะมีรายได้ใหม่เข้ามา 50,000-100,000 ล้านบาท จากที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวน 1 ล้านคน ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจะอยู่ประมาณที่ 50,000 บาท”
อีกด้านเชื่อว่าจะทำให้การส่งออกทั้งปีของไทยปีนี้ขยายตัวได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 7% เนื่องจากผู้นำเข้าจะสามารถเดินทางมาสั่งซื้อมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังเชื่อว่าวัคซีนจะเป็นคำตอบสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปได้
ช่วยเปิดสภาพคล่อง
“การเปิดประเทศทำให้เอกชนมีความหวัง เพราะหากจะพึ่งรายได้ของภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเราใช้บุญเก่ามาตลอด จากการลงทุนของภาครัฐ ภาษีประชาชน หรือมาตรการลดดอกเบี้ย พักหนี้ของภาครัฐก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ต้องหาเงินหรือรายใหม่เข้ามา และการเปิดประเทศจึงเป็นโอกาสที่สำคัญที่จะมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามาในประเทศที่จะสร้างรายได้ให้กับประชาชน”
อีกด้านหนึ่ง สถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะมีความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เพื่อมีสภาพคล่องในการทำธุรกิจ เนื่องจากจะมีรายได้เข้ามาให้เห็น ช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นปัจจัยสำคัญของผู้ประกอบการ
ซึ่งที่ผ่านมาแม้ภาครัฐจะมีมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือมาตรการพักหนี้ แต่ผู้ประกอบการยังเข้าไม่ถึง เนื่องจากยังมีกฎระเบียบและเงื่อนไขที่ยังเป็นข้อจำกัด จำเป็นที่จะต้องผ่อนปรนลดเกณฑ์
“อย่างเรื่องเครดิตบูโร ซึ่งรัฐสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าสถานะธุรกิจก่อนหน้าเกิดโควิด-19 เป็นอย่างไร หากไม่เคยติดเครดิตบูโรแต่มาติดตอนเกิดโควิด-19 ก็ต้องผ่อนปรนให้เขาเข้าถึงแหล่งทุน และสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมปัจจุบัน หากดูสัดส่วนแล้วมีประมาณ 38% ที่เปิดให้บริการเต็มที่ แต่อีก 40% เปิดให้บริการบางส่วน และ 20% ปิดสนิท ดังนั้น ทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถฟื้นตัวได้ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดประเทศด้วย”
ทั้งนี้ หอการค้าไทยได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขเรื่องเครดิตบูโรแล้ว
แก้หนี้ครัวเรือน
ด้านนายสุพันธุ์ กล่าวว่า เอกชนมีความมั่นใจและเชื่อว่า 120 วันเป็นระยะเวลาที่ถูกต้องสำหรับความพร้อมเปิดประเทศ ซึ่งหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้พบว่าปัญหาของเศรษฐกิจเกิดจากหนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 90%
ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีการใช้มาตรการคนละครึ่งถึง 30 ล้านคน ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) อีกกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 13-14 ล้านใบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยก็ต้องล็อกดาวน์ประเทศ
ดังนั้น หากไม่เปิดประเทศหนี้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รัฐก็ต้องออกมาตรการช่วยเหลือออกมาอีกเฟส 4 เฟส 5 ขณะที่งบประมาณประเทศมีจำกัด ธุรกิจไม่สามารถเดินต่อได้ ตอนนี้รัฐและเอกชนจึงต้องช่วยกันทุกเรื่อง
ย้ำวัคซีนวาระแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปริมาณการฉีดวัคซีนยังไม่มาก 5 ล้านคน จากเป้าหมายการฉีดและได้วัคซีนมา 100 ล้านโดสในปีนี้ จึงเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งดำเนินการให้ได้ และเชื่อว่าหลังจากนี้จำนวนคนติดเชื้อจะลดลงจากปัจจุบันอยู่ 3,000-4,000 คน/วัน
“ยังคงยืนยันว่าเรื่องวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ นับจากที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายนใน กกร. ว่านี่คือปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และทำให้การเปิดประเทศสำเร็จ ซึ่งรัฐก็ต้องชัดเจนว่าจะจัดสรรวัคซีนให้เอกชนได้จำนวนเท่าไร เมื่อใด เพื่อที่เอกชนจะได้นำไปฉีดให้กับพนักงาน ลูกจ้างภายในองค์กรช่วยสร้างความมั่นใจ”
ขณะเดียวกัน ส.อ.ท.ได้ประสานวัคซีนทางเลือกยี่ห้อซิโนฟาร์มมาฉีดให้สมาชิก จึงอยากให้คนไทยมั่นใจ ร่วมมือกัน เตรียมตัว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะหากต่างคนต่างไม่มั่นใจเศรษฐกิจก็เดินต่อไปไม่ได้
ในส่วนของภาคเอกชนก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน เพราะแต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากโควิดในระดับที่แตกต่างกัน ยานยนต์ อาหาร อาจจะได้ประโยชน์ แต่อุตสาหกรรมบางอย่างได้รับผลกระทบต้องอาศัยการฟื้นตัว บริษัทขนาดใหญ่ไม่กังวลแต่จะช่วยดูแลบริษัทเล็กได้อย่างไร เพราะโควิด-19 ทำให้ภาค service บริการ SMEs เหล่านี้หายไปเพราะมีปัญหา
ดังนั้น รัฐและสถาบันการเงินก็ต้องพยายามช่วยเขา จึงอยากให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ ยกเลิกการพิจารณาการให้สินเชื่อจากเครดิตบูโรเพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจที่กำลังเกิดปัญหา
เปิดประเทศไม่ใช่เปิดโรค
“ที่สำคัญต้องมองว่าการเปิดประเทศคือการเปิดเศรษฐกิจไม่ใช่เปิดรับโรค ตัวอย่างเช่น จ.ภูเก็ตที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในวันที่ 1 ก.ค. 2564 นี้ การเตรียมความพร้อมของเขาคือคนฉีดวัคซีนแล้ว 60-70% มัลดีฟส์ฉีดและเปิดประเทศ โรงแรม ท่องเที่ยวก็แฮปปี้ ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกับที่อังกฤษ”
“แต่รัฐบาลจะต้องบาลานซ์ด้านความปลอดภัยควบคู่กันไปด้วย คือ 1.อย่าประมาท 2.ช่วยกันส่งเสริมให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง ย้อนกลับไปดูช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 2564 ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามา ดังนั้น หากเปิดประเทศได้จริงเชื่อว่าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวจะกลับมาแน่นอน และจะไม่ใช่นักท่องเที่วแบ็กแพ็ก แต่จะเป็นนักท่องเที่ยวแบบพักผ่อนยาว”
เร่งอำนวยความสะดวก
อย่างไรก็ตาม หากเปิดประเทศได้จริงด้านการลงทุนยอมรับว่าไทยยังมีโอกาสอีกมาก เห็นได้จากโครงการก่อสร้างทั้งทางราง สนามบิน ทำให้ระบบโลจิสติกส์ของไทยพร้อมทุกด้าน ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ด้านการลงทุนกระตุ้นให้นักลงทุนอยากเข้ามาลงทุนในไทย
แน่นอนว่านักลงทุนเองเมื่อจะต้องพิจารณาการลงทุนแต่ละครั้งจะพิจารณาจากเพียงไม่กี่ตัวเลือก โดยหลักคือ ความคุ้มค่า ต้นทุนถูกหรือแพง โลจิสติกส์ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานพร้อมหรือไม่ หากพร้อมก็ตัดสินใจไม่ยาก ซึ่งนั่นคือประเทศไทยที่พร้อมทั้งหมด
สิ่งที่เอกชนและรัฐต้องช่วยกันทำต่อ คือ ความสะดวกและความยากง่ายของการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่จะผลักดันให้เกิดการลงทุน และในทางกลับกัน ไทยเองก็ต้องเลือกนักลงทุนที่เข้ามาสร้างประโยชน์ให้อะไรบ้าง ไม่ใช่เข้ามากอบโกยเพียงอย่างเดียว