ในปัจจุบันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ให้ความสนใจหันมาทำ ’ศัลยกรรม“ เสริมความงามมากขึ้นสารพัดรูปแบบ ทั้งใบหน้า ผิวหนัง รูปร่าง ที่สำคัญยุคนี้สามารถแก้ไขโครงสร้างรูปทรงร่างกายได้แทบจะครบทุกส่วน ผ่าตัดปรับแต่งยกเครื่องให้ดีกว่าเดิม โดยศัลยกรรมยอดฮิต มีทั้งฉีดสารฟิลเลอร์เสริมใบหน้า จมูก หน้าอก ฯลฯ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม จึงทำให้มีบรรดา คลินิกเถื่อน และ หมอปลอม แอบแฝงมาให้บริการมีไม่น้อยเช่นเดียวกัน ทำให้มีผู้หลงเชื่อไปใช้บริการ มีภาวะเสี่ยงอันตราย ทั้งพิการ จนถึงขั้นเสียชีวิต
ล่าสุดที่เป็นข่าวมีทั้งไปดูดไขมันในคลินิกแล้วเสียชีวิตอย่างน่าสลด หรือฉีดสารฟิลเลอร์เข้าใบหน้าทำให้ตาบอด ใบหน้าชาไปทั้งซีกก็มีมาให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
ผู้บริโภคขาดความเข้าใจตกเป็นเหยื่อ
ทีมข่าว 1/4 Special Report พาไปพูดคุยกับทางแพทยสภาถึงปัญหาดังกล่าว ส่วนตอนนี้ได้สัมภาษณ์ นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถึงการร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับด้านบริการเสริมความงามอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย สิทธิผู้บริโภคควรจะได้รับเป็นอย่างไร หลังเกิดอันตรายจากการศัลยกรรมจนส่งผลไม่สามารถทำกิจวัตรประจําวันให้เป็นปกติได้ นางนฤมล กล่าวว่า สถานบริการเสริมความงาม กับ คลินิกเวชกรรม นั้น การประกอบธุรกิจทั้ง 2 รูปแบบ มีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน สถานบริการเสริมความงามโดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะไม่มีแพทย์ประจำ อาทิ ทำสปา ขัดผิว นวดตัว ทำเล็บ ซึ่ง จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพียงอย่างเดียวก็สามารถเปิดให้บริการได้ แตกต่างกับคลินิกเวชกรรม ต้องขึ้น ทะเบียนกับสํานักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ซึ่งจะมีแพทย์ประจำในสถานพยาบาลและให้บริการในการรักษา หากผู้บริโภคไม่ได้ทำในลินิกเวชกรรมที่ได้รับอนุญาต ก็จะมีความเสี่ยงไปเจอกับ หมอกระเป๋า (หมอปลอม)
สถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับด้านศัลยกรรมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการทำจมูกและเสริมหน้าอก ปัจจัยในเรื่องของราคาเข้ามามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจศัลยกรรมมากกว่าคุณภาพ ยิ่งราคาถูกก็มีความเสี่ยงที่จะทำศัลยกรรมโดยไม่ใช่แพทย์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ โดยไม่รู้ว่าคนที่จะสามารถ ฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือศัลยกรรมในด้านต่าง ๆ จะต้องกระทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ที่สำคัญผู้บริโภค ยังขาดความรู้ในการตรวจสอบทั้งในเรื่องของคลินิกเวชกรรมหรือแพทย์ ผู้ให้การรักษา ว่ามีใบอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ ทำไมกฎหมายจึงต้องกำหนดให้เป็น แพทย์เฉพาะทาง เพราะบางเรื่องมีผลกระทบกับร่างกายทำให้ผู้บริโภคต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวต่อว่า มาตรการตรวจสอบ ด้านศัลยกรรมยังคงเป็นปัญหา ซึ่งทางสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้เพียงแค่รับรองหรือออกใบอนุญาต ว่า อุปกรณ์เหล่านี้ซื้อมาจากที่นี่อย่างถูกต้อง แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามาตรฐานแบบนั้นมีจริงอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้สื่อโซเชียลมีเดียเปิดค่อนข้างกว้าง หากเราจะหาข้อมูลแพทย์สักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แม้กระทั่งหน้าตาของแพทย์ก็สามารถตรวจสอบได้ ว่าเป็นแพทย์คนเดียวกับที่ทำศัลยกรรมหรือไม่ เมื่อเราเข้าไปใช้บริการแล้วพบว่าไม่ใช่แพทย์คนเดียวกับที่จดแจ้งให้บริการก็สามารถร้องเรียน หรือยกเลิกบริการได้ทันที เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่ ต่อให้เป็นแพทย์ก็ต้องอยู่ในแพทย์เฉพาะทางจึงจะสามารถทำศัลยกรรมได้ ทั้งนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พยายามคุมเข้มคลินิกเสริมความงาม ต้องได้เกณฑ์มาตรฐานทั้งสถานที่ เครื่องมือ เวชภัณฑ์ ห้ามโฆษณาโอ้อวด และแพทย์ที่รักษาจะต้องจบเฉพาะทางด้านความงามหรือผิวหนังได้รับอนุมัติหรือวุฒิบัตรจากแพทยสภาเท่านั้น
คดีผู้บริโภคที่ฟ้องร้องแพทย์ผู้ศัลยกรรม ได้รับบาดเจ็บจากการทำศัลยกรรมก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งแพทย์ที่ศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกและเก็บไม่หมด นอกจากนี้ยังลืมผ้าเศษผ้าก๊อซไว้ในร่างกาย ศาลได้พิพากษาให้ชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น นั่นคือข้อดีของการทำศัลยกรรมโดยแพทย์ที่ได้รับอนุญาต หากเกิดความผิดพลาดจากทางแพทย์จึงสามารถเรียกร้องสิทธิที่เกิดขึ้นได้
คดีผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีได้เอง
สำหรับขั้นตอนการช่วยเหลือผู้บริโภคนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ร้องเรียน พร้อมพิจารณาด้านความเสียหาย และให้คำปรึกษาช่วยเหลือในด้านคดี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้บริโภคยังไม่ทราบว่าคดีผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีได้ด้วยตัวเอง โดยผู้บริโภคนำเอกสารพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เดินไปให้เจ้าหน้าที่ศาลช่วยร่างฟ้อง แล้วฟ้องเองได้เลย โดยไม่ต้องมีทนาย ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้บริโภคสามารถจะทำได้ นอกจากนี้หากผู้บริโภคเสียหายจากด้านศัลยกรรม ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังมีทีมแพทย์ที่ให้คำแนะนำในการรักษาอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือการ โฆษณาเกินจริง ปัจจุบันสถานบริการหรือคลินิกเสริมความงามจะชักจูงหลอกล่อด้วยการแจก
โปรโมชั่นฟรี หรือชักชวนเข้ามาตรวจสภาพผิวฟรี แต่พอเข้าไปแล้ว ก็จะมีการขายคอร์สเพิ่มเติมต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคจนเกิดภาวะจำยอม โดยเป็นคอร์สไม่กำหนดระยะเวลาและมักจะพ่วงคำว่า (งดคืนเงินทุกกรณี) จึงเป็นช่องว่างในการทำสัญญา เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองอย่างชัดเจน และผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ถูกหลอกลวงนั้น มักจะเป็นผู้ที่ถือบัตรเครดิต โดยจะมีการรูดตัดวงเงินชำระค่าบริการไปก่อนทันที ดังนั้นผู้บริโภคควรทำข้อตกลงให้ชัดเจนก่อนทำสัญญาเข้ารับบริการ เพราะเงินมันอยู่ในกระเป๋าเราเอง ถ้าเราไม่หยิบมันออกมา ก็ไม่สามารถมีใครมาหยิบมันออกไปได้
อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถส่งเรื่องร้องเรียนมายัง www.consumerthai.org หรือเฟซบุ๊ก ’เพื่อผู้บริโภค“ จะมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. โดยสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุ้มครองผู้บริโภค อยากฝากผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรม ควรใช้เวลาศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของศัลยกรรมที่ตนสนใจ รวมถึงขั้นตอนการทำศัลยกรรม รายละเอียดด้านมาตรฐานวิชาชีพของแพทย์ผู้ทำศัลยกรรม และมาตรฐานของสถานเสริมความงามนั้น ๆ ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์เพื่อพูดคุยถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิด.